วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ชีวิตประจำวันสุดบัดซบ อย่าได้เอาเยี่ยงอย่าง

         ตื่นเช้าขึ้นมาอากาศสดใส ม่านหน้าต่างเปิดไว้รับแสงในยามเช้า แอร์ที่เปิดตั้งแต่เมื่อคืนวานส่งลมเย็นสบายๆกระทบร่างกาย รูมเมทที่นอนอยู่เตียงอีกเตียงไม่อยู่แล้ว สงสัยจะตื่นก่อนเรา ตัวผมนอนอยู่เตียงริมหน้าต่าง ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มเนื่องจากเปิดพัดลมเอาไว้

         "ได้เวลาตื่นนอนแล้ว"

          ผมบอกตัวเองในใจ ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนกับต้องใช้พลังงานทั้งชีวิตในการตื่นนอนเลยที่เดียว ทั้งที่ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นทุกวัน แต่ก็ไม่เคยจะดัดนิสัยแย่นี่ได้ การจะตื่นนอนแต่ละทีนี่มันทรมาณใจจริงๆ

          มองนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้าง บอกเวลาที่ตรงเป๊ะๆอยู่เสมอ และวันนี้ก็ยังตรงเป๊ะเหมือนเดิม แต่มันแปลกๆยังไงไม่รู้เพราะเวลาที่แสดงอยู่ในนั้นเป็น 15นาฬิกา

          "!!!"

          อ่าหะ แน่นอนอยู่แล้ว ก็เมื่อวาน(หรือวันนี้ดีละ)เข้านอนซะ6โมงเช้าเลยนี่ เพราะมัวแต่เล่นเกมจนลืมเวลานั้นแหละนะ จะตื่นตอนนี้ก็ไม่แปลกอะไรหรอก

          ผมลุกกขึ้นจากที่นอน หยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่ตรงเก้าอี้โต๊ะอ่านหนังสือ แล้วตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ห้องตรงข้ามที่นอน บริเวณนี้จะเห็นห้องนั่งเล่น ซึ่งรูมเมทกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างทุกที บางครั้งก็เล่นโทรศัพท์มือถือบ้าง แต่ก็เป็นภาพที่คุ้นตามาหลายเดือนแล้วล่ะ ผมใช้เวลาอาบน้ำหลายนาทีด้วยความงัยเงียระหว่างนั้นก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

          "วันนี้วันเสาร์นี่นา จะเล่นเกม LOL ต่อจนเช้าเลย"

          ความคิดบ้าๆนี่เอาอีกแล้ว ทั้งๆที่เมื่อวานนี้ก็เล่นซะเต็มที่ตั้งแต่เลิกเรียนจนหกโมงเช้ายังไม่พอสินะ ก็นั้นแหละ มันสนุกมากเลยล่ะมั้ง หรือเพราะไม่มีอะไรทำด้วยล่ะ คือไม่อยากจะทำอะไรอ่ะ ถ้ามีอย่างอื่นที่อยากทำก็จะทำอยู่หรอกนะ จะอ่านหนังสือก็ขี้เกียจ เล่นกีฬาอย่าพูดถึงเลยนะฮะ

         "หิวซะและ"

         ก็ต้องหิวอยู่แล้ว กินข้าวครั้งสุดท้ายก็คือ 6โมงเย็นของเมื่อวาน นี่ก็จะวนมาครบ24ชมแล้ว จะไม่หิวได้อย่างไรกัน

        หลังจากอาบน้ำเสร็จ และเตรียมตัวจะไปกินข้าวที่โรงอาหารทิวสนโดมบริเวณไม่ไกลจากที่พักนัก ผมหยิบแบ๊งร้อย1ใบและกุญแจห้อง แล้วก็ออกจากห้องที่ผมพักอยู่ บริเวณทางเดินหน้าห้องช่างได้อารมณ์หนังสยองขวัญจริงๆ ถ้าเป็นตอนกลางคืนแล้วไฟกระพริบๆนะ เหอๆไม่อยากนึกเท่าไหร่ ผมรอลิฟท์อยู่นานสองนานกว่าจะมาได้ ก็อยู่ซะชั้นบนสุดนี่นะ

        ชั้น1มี รปภ. นั่งประจำอยู่เป็นคนที่เป็นมิตรมากเหมือนเป็นผู้ปกครองเหล่าเด็กหอพักทั้งหอเลยก็ว่าได้ มีคนวนเวียนอยู่ที่ชั้น1แทบจะตลอดเวลา ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะทำอะไรกัน เพราะตอนนี้สนใจแต่จะไปกินข้าวเท่านั้น

        ทิวสนโดมยังเหมือนทุกวัน แต่วั

นนี้คนน้อยหน่อยเพราะเป็นวันหยุด เด็กหอบางคนกลับบ้านกัน เหลือแต่เหล่าเด็ก ตจว เช่นเดียวกับผมที่จะกลับบ้านทีนี่ลำบากสุดๆ แต่ก็ดี คนน้อยได้อาหารเร็ว อาหารที่ผมสั่งไปเหมือนทุกที กระเพราหมูสับราดข้าวซึ่งราคาถูกที่สุดคือ 25 บาทและจะซื้อไก่ทอดห้าดาวราคา21บาทซึ่งอร่อยมากๆ ผมมักจะทานแบบนี้ทุกวันๆไม่เคยเบื่อหรอก
        ใช้เวลาทานอาหารประมาณเกือบ20นาที ด้วยความไม่รู้จะทำอะไรจึงกลับห้องทันทีที่ทานเสร็จ กลับมาห้องก็เหมือนเดิม รูมเมทของผมยังคงนั่งอยู่ที่เกิดอยู่ ส่วนผมก็ไม่สนใจอะไรแล้ว มุ่งตรงไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องโปรดที่ตั้งอยู่ในห้องเปิดขึ้นมาแล้วก็เล่นเกมต่อทันที......รู้สึกตัวอีกทีก็เที่ยงคืนแล้ว หลังจากนั่นก็เล่นเฟสต่อจนตี4ของวันอาทิตย์ถึงจะล้มตัวลงนอนได้

        แล้วก็รอเช้าวันใหม่ต่อไป แล้วก็วนลูปเหมือนเดิม -3-

        ---จบบริบูรณ์แจ้---


วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ก่อนที่สอบกลางภาคปี1เทอม1! ความกดดันนี่มัน ?!

                       หลังจากเป็นเฟรชชี่หน้าใสมาได้เกือบสองเดือน กำลังสนุกสนานกับกิจกรรมใหม่ๆที่ไม่เคยพบเคยเจอเมื่อสมัย ม.ปลาย เนื้อหาต่างๆที่เรียนในคลาสก็เป็นเรื่องใหม่ๆที่ไม่เคยเห็น แน่นอนว่าการเรียนการสอนเมื่อถึงเวลาหนึ่งจะต้องมีการสอบแบะ เวลาที่ว่านั้นได้มาถึงแล้ว การสอบกลางภาคยังไงล่ะ !!


                มันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากมายหรอก เพราะการสอบในระดับมหาวิทยาลัยนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง อย่างน้อยในปีหนึ่งๆก็ต้องเจอการสอบสี่ครั้ง และพอเรียนจบ4ปีก็เจอการสอบไปทั้งหมด 16ครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรก ถึงได้อยากจะเขียนถึงมันหน่อย

                อารมรณ์มันแตกต่างจากระดับ ม.ปลาย โดยสิ้นเชิง มันไม่เหมือนการสอบกิ๊กก๊อกของ ม ปลาย ที่เอาคะแนนสอบแค่ 5-10คะแนน  คะแนนสอบปลายภาคประมาณ 20-30คะแนน กล่าวคือใน ม ปลาย มันเน้นคะแนนเก็บ ใครมีคะแนนเก็บเยอะ ก็เอาเกรด 4 ไปได้เลย แต่ในระดับนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว แต่เป็นการใช้คะแนนสอบเต็ม 100% หรือใกล้เคียง และสำหรับสอบกลางภาคคือ 50%

                ความกดดันสูงกว่าไม่รู้เท่าไหร่ เกรดของ มปลาย นั่นมีความสำคัญน้อยกว่าเกรดของระดับมหาวิทยาลัย เกรด มปลาย นั้นสำหรับบางคนแล้วไม่มีความสำคัญเลยก็ได้(ขอแค่ออกมาให้จบได้ เพราะได้ที่เรียนในมหาวิทยาลัย) ต่างกับเกรดของระดับมหาวิทยาลัยที่ต้องเอาไปใช้ในการสมัครทำงานต่างๆซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก

                นอกจากนี้เรายังไม่รู้ด้วยว่า ข้อสอบ มันจะออกมาแนวไหน ไม่เหมือนการสอบของ ม ปลายที่อาจารย์บอกมาหมดแล้วว่าจะออกอะไรยังไง คือมันเดาไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ยังจับทางกันไม่ถูกอะไรประมาณนั้น เพราะยังไม่เคยเจอเนี่ยแหละ ในส่วนนี้รุ่นพี่ก็อาจจะช่วยได้ ก็ต้องลองปรึกษารุ่นพี่ดู

                การสอบกลางภาคนี้อาจจะเป็นตัวตัดสินเลยก็ได้ว่า ในอนาคตของเราจะเป็นอย่างไร ถึงแม้เปอร์เซ็นจะไม่เยอะในการคิดเกรดเฉลี่ยสี่ปี แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของเกรดนั่น  ดังนั้นเราจึงต้องทำให้ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นการสอบครั้งไหน  โดยเฉพาะครั้งแรกนี้  ไฟท์!!

             ว่าแล้วก็ไปอ่านหนังสือกันดีกว่า -3-

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"ก็เขาให้ทำ ก็ทำไปเถอะน่า”

“ก็เขาให้ทำ ก็ทำไปเถอะน่า”

            อยู่ที่นี่มาก็ 1 เดือนแล้วกับการเป็นเฟรชชี่ของมหาวิทยาลัยเรื่องวุ่นวายๆต่างๆนาๆก็ถาโถมเข้ามาเยอะแยะจริงๆ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรถึงขนาดไม่ได้ทำอะไรหรอก

            อย่างที่หลายๆคนรู้ว่า เฟรชชี่ น่ะกิจกรรมเยอะเสียเหลือเกิน ซึ่งมันก็เป็นจริงตามที่รู้มานั่นแหละ กิจกรรมเยอะจริงๆ เพื่อนบางคนต้องเข้าซ้อมร้องเพลงประสานเสียงกันเป็น 5-6 ชั่วโมง บางคนก็ซ้อมเชียร์กัน 4-5 ชั่วโมง บางคนนี้ต้องเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องกันเป็นอาทิตย์ๆ แค่คิดก็เหนื่อย ยิ่งพวกคนที่จัดกิจกรรมเหล่านี้(พวกปี 2) ที่เหนื่อยยิ่งกว่าเสียอีก

            ความวุ่นวายเหล่านี้มีจุดประสงค์อะไร ทำไปเพื่ออะไรกันแน่ เคยสงสัยกันบ้างหรือปล่าว ผมถามเพื่อนผมคนนึง ซึ่งเป็นคนที่ทำกิจกรรมหนักพอสมควร ตอบว่า “ก็เขาให้ทำ ก็ทำไปเถอะน่า” .... คำตอบที่ผมได้รับเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ทุกอย่าง คนส่วนใหญ่ก็ทำด้วยเหตุผลนี้ทั้งนั้น มันก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไรหรอกนะ เพราะ“ก็เขาให้ทำ ก็ทำไปเถอะน่า”

            ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงตอบแบบนี้ต่างหากถึงน่าคิด เพราะเขาไม่มีอารมรณ์ร่วมกับกิจกรรมหรือเปล่า เพราะเขาไม่รู้ไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์กิจกรรมจริงๆใช่ไหม  แต่ทำไมพวกเขาถึงยังทำกันล่ะ จะเพราะอะไรซะอีก โอเค ถึงรุ่นพี่จะไม่ได้บังคับขู่เข็ญอะไรหรอก แต่ก็ยังเกิดแรงกดดันอยู่ดีนั่นแหละ มันก็มาจากความอึดอัดซึ่งเกิดจากเพื่อนๆของเขานั่นเอง เพื่อนๆที่ต่างก็ตกลงที่จะทำกันหมด แล้วฉันละ ก็ต้องทำซิ ทำตามเขาไง ถูกมั้ย

            พอเรามาลองมาพิจารณาอะไรหลายอย่างๆ คำนึงถึงผลเสียผลลบที่เกิดขึ้นหากไม่มีกิจกรรมวุ่นวายเหล่านี้ ลองมองดูตัวอย่างจากรั้วแห่งอื่นดูบ้าง ผลลัพท์ก็คือแทบจะไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ หากไม่มีการเชียร์(แบบขึ้นสแตนด์ ร้องเพลง บลาๆ)เกิดขึ้น มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อการแข่งกีฬาอะไรเลย หากไม่มีรับน้องใดๆเลย รุ่นราวคราวเดียวกันก็ต้องทำความรู้จักกันอยู่แล้ว เพราะในการเรียนมันต้องช่วยเหลือกัน ถ้าอย่างงั้นแล้วเราจะทำเรื่องวุ่นวายเหล่านี้เพื่ออะไร

            ทำตามกันมาเป็นเหตุผลที่น่ากลัว ไม่ว่าจะมีคนท้วงติงอย่างไร มีเหตุผลอย่างไร ก็ไม่อาจจะสั่นคลอนได้ต่อเหตุผลเล็กๆนี้ มันน่ากลัวตรงที่ว่า ทำตามจนลืมที่จะนึกถึง เรื่องอื่นๆ ลืมนึกไปว่ามันได้ผิดกฎอะไรหรือไม่ ลืมนึกไปว่ามันได้ทำให้ใครซักคนเดือดร้อนมั้ย ลืมนึกไปว่าผลลัพท์ที่เกิดขึ้นจริงนั้นคุ้มค่าต่อการทำหรือเปล่า

            สุดท้ายแล้วความวุ่นวายเหล่านี้ไม่ได้เริ่มมาจากสิ่งที่สำคัญอะไรเลย เริ่มมาจากกิจกรรมสนุกสนานกันไปตามประสา แก้เครียดจากการเรียนที่สาหัส แต่เวลาผ่านไปเนิ่นนานจุดประสงค์ที่แท้จริงก็ถูกบิดเบือน เพราะเวลานั้นผ่านไปนานจนเกินไป ถ่ายทอดไปยังรุ่นสู่รุ่นมากมายเกินไป  กลายเป็นการทำตามกันมาเฉยๆไปซะแล้ว รุ่นพี่ทำให้เรา เราก็ต้องทำให้รุ่นน้อง น่ากลัวนะเหตุผลแบบนี้ น่ากลัวจริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปิดเทอม 3 เดือน....ว๊างว่าง....ว่างจนเครียดน่ะสิ

    หลังจากเรียนมัธยมปลายมานานถึง 3 ปี และวันนี้ก็เป็นวันปิดเทอมสุดท้ายของ ม6 หรือพูดง่ายๆก็คือ เรียนจบ ม.ปลาย แล้ว นับว่าปิดเทอมที่ผ่านมาทั้งหมด เป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆ เพราะต้องเรียนกวดวิชากันแสนสาหัส(พึ่งมารู้ตอนนี้ว่า ไม่ได้ใช้อะไรเลย) อาจเป็นเพราะการวางแผนที่ห่วยแตกของเรา การไม่รู้ว่าเราอยากเป็นอะไรในตอนแรก(ตอนนี้รู้แล้วล่ะ) จะทำให้พ่อแม่เสียเงินมากแค่ไหน(อันนี้เจ็บใจสุด) อย่างไรก็ตาม มันก็ผ่านมาแล้วล่ะนะ มองอนาคตและปัจจุบันดีกว่า

    พูดถึงปัจจุบัน ก็อย่างที่บอก ตอนนี้ปิดเทอมอยู่ ปิดเทอม 3 เดือนซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน(สำหรับผมน่ะนะ) เวลาอันยาวนานที่ไม่มีภาระอันใด ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่พอได้ไปอ่านกระทู้บางกระทู้ใน Pantip มันก็คิดอะไรได้บางอย่างอ่ะนะ เลยไม่อยากเสียเวลา 3 เดือนอันมีค่าเหล่านี้ทิ้งไปเลย

   ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่วันสอบวันสุดท้าย ผมก็เล่นแต่เกมมาตลอด เกมที่เล่นก็เกม Dragon Nest ที่เล่นประจำ ผมจริงจังกับมันมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมนึกถึงแต่เกมๆนี้ตลอด ก็มันอดใจมานานแล้ว ขอปลดปล่อยซะบ้าง แต่กระทู้ Pantip ที่ว่านี้ มันทำให้ผมเริ่มตระหนัก

   ตระหนักต่ออะไร? ตระหนักต่ออนาคตข้างหน้า หลังจากนี้ 3 เดือนผมจะเป็นยังไง? นั้นแหละที่ผมกำลังคิด ช่วงเวลาระหว่าง ร่ำเรียน 4ปีในรั้วมหาลัย จะเกิดอะไรขึ้น ผมไม่รู้เลย และหลังจากนั้นล่ะ หลังจากจบแล้วผมจะอยู่ได้หรือเปล่า ความกังวลเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ผมก็ลืมมันไปหมดตอนกำลังอ่านหนังสือสอบ ก็ได้แต่อ่านเรื่องราวที่เขาเล่ากันมาในเว็บ Pantip อ่านะ แต่ละคนนี้ช่างฮาร์ดคอเสียจริงๆ

   กระทู้ที่ว่า ไม่ใช่กระทู้เเกี่ยวกับการเรียนอะไรหรอก แต่เป็นกระทู้เกี่ยวกับการใช้เงิน หัวเรื่องเขาถามเหล่าสมาชิกว่า "คุณเคยถังแตกไหม" เป็นคำถามที่ผมคิคว่าธรรมดามากๆ แต่พอผมได้อ่าน...โอ้โห แต่ละคนสุดยอดทั้งนั้น พวกเขาต่างเล่าประสบการณ์การถังแตกของตัวเอง เล่าถึง ณ เวลาที่พวกเขาไม่มีเงิน พวกเขาอยู่ได้อย่างไร แก้ปัญหาอย่างไร กระทู้นี้ทำให้ผมรู้จักกับการไม่มีเงิน ทำให้ผมได้รู้ถึงความสำคัญของเงินว่ามันมมีความสำคัญมากมายแค่ไหน ตลอดเวลาที่ผมใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย(แม้แต่ตอนนี้) ผมก็ไม่ได้รู้สึกตัวหรอกว่ามันฟุ่มเฟือย ไม่ได้คิดด้วยซ้ำ รู้แต่เพียงว่า ถ้าไม่มีเงิน ก็ขอพ่อแม่ แค่นั้นไม่มีอะไรมาก ทั้งๆที่เงิน มันไม่ได้เสกขึ้นมา

  นั้นคือเหตุผลที่ 3 เดือนนี้ผมไม่อยากเสียเวลา ผมกลัวว่า ถ้าเกิดอยู่ห่างบ้าน ไปเรียนหนังสือแล้วเกิดขาดสน เราจะทำยังไง? ถ้าเรายังหาเงินไม่เป็น เราก็อยู่ไม่รอด ผมอยากใช้เวลา 3 เดือนนี้ให้มีค่า มากกว่าจะอยู่เฉยๆ อย่างน้อยก็รู้จักวิธีการหาเงินเสียบ้าง แต่ปัญหาคือจะทำยังไง ผมไม่รู้อะไรเลย

   ในที่สุดก็ได้คำตอบสำหรับ 3 เดือนที่จะไม่สูญเปล่า ผมวางแผนไว้ว่า จะหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เรื่องที่หาไม่ได้จากการเรียน ประสบการณ์การทำงานต่างๆ เช่น การเปิดร้านอาหาร การขายของเล็กๆน้อยๆ การเป็นคนเสิร์ฟ หรือแม้แต่การเก็บขยะไปขาย ให้ตายเหอะ อย่าดูถูกเชียวนะ อย่างน้อยๆพวกเขาก็หาเงินได้ ในขณะที่ผม ทำเรื่องเหล่านั้นยังไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ หรือจะให้พูดอีกแบบก็ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการทำงาน ไม่ว่าในระดับไหน ประมาณนั้น ปัญหาคือไม่รู้ว่า จะหาข้อมูลจากไหน คงเริ่มจากเซิร์จหาใน Google ไม่ก็ไปหาในร้านหนังสือ ห้องสมุด.....อืม...ม.....อาจจะถึงต้องถามเหล่าผู้ประกอบการเอง ไม่รู้แบบฟอร์มการถาม...................เอาเป็นว่า ขอจบอินทรี่ กับการระบายความเครียด(มั้ง) อย่างน้อยๆตอนนี้ก็รู้แล้วว่าจะทำอะไร ขอบคุณที่อ่านจนจบ ขอบคุณครับ

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เตรียมสอบ PAT1 กัน ข้อสอบเลขสุดอำมหิต

ต้องรู้ก่อนว่า
PAT1 นั้นจะออกเรื่องอะไรบ้าง
เรื่องไหนควรอ่าน เรื่องไหนควรทิ้ง
ต้องแยกให้ออก ข้อไหนควรทำ ข้อไหนไม่ควรทำ
PAT1 นั้นมีทั้งหมด 17 บท อะไรบ้างนั้น หาเอาเอง -..-


"เรื่องไหนควรอ่าน เรื่องไหนควรทิ้ง"
หลักๆเลยก็คือ ตัดเรื่องที่ไม่ชอบไม่เคยอ่านทิ้งไปก่อน
ทุ่มให้กับเรื่องทีเราคิดว่าง่าย
แต่ปัญหาคือ ไม่ชอบซักเรื่องน่ะสิ -3-

เราขอแนะ เรื่องที่ PAT1 ออกง่าย ไม่พลิกแพลง ควรอ่าน

1. กำหนดการเชิงเส้น เป็นบทที่ไม่มีอะไรเลย มีหัวข้อเดียว มีวิธีทำเดียว ไม่มีความซับซ้อน ที่สำคัญออกทุกปี
2. พวกที่ไม่เห็นในบทเรียน คือมันจะออกง่าย ถ้าอ่่านจะรู้ เพราะเราจัดไว้ในบทไหนไม่ได้
3. สถิติ แน่นอน บทนี่ไม่มีอะไร ขอแค่เข้าใจทุกคำนิยาม สูตรท่องๆไปไม่เยอะ ก็เก็บได้ละ ที่สำคัญออกเยอะ 4-5 ข้อ
4. เรื่อง Expo Log ใช้ประสบการณ์นิดหน่อย แต่ถ้าเข้าใจ จะง่ายทันที
5. Matrix หา Det Adj หัวข้อนี้ สูตรเดียว ไม่ต้องเข้าใจก็ทำได้ ออกทุกปี
6. ทฤษฎีจำนวน จำพวก หรม ครน เลขเยอะหน่อย แต่ออกชัวร์
7. การแก้อสมการ ,อสมการติดแอ๊บ อันนี้ยากแต่ถ้าเคยทำจะทำได้ เพราะไม่พลิกแพลง แก้ได้ตรงๆ
8. ลำดับเลขคณิต และลำดับเรขา ถ้าโจทย์ข้อไหนบอกว่า เป็นลำดับเลขคณิตหรือลำดับเรขาคณิต จะกลายเป็นง่ายทันที แต่ถ้าบอกว่าเป็นลำดับใดๆ(ไม่บอกว่าเป็น เลข หรือ เรขา) ให้ข้ามทันที
9. Set ตรรกศาสตร์ เรื่องง่ายๆที่เก็บได้อยู่แล้ว
10 ความน่าจะเป็น แบบ Set (คล้ายเซ็ตเลย)

10ข้อที่กล่าวมา ถ้าทำได้หมด เราว่าได้เกิน 100 แล้วล่ะ 5555


เรื่องไหนควรทิ้ง

1. ลำดับ อนุกรม ถ้าไม่ตามข้อ 8 ให้กาข้อสอบทิ้งซะ
2. ตรีโกณมิติ แน่นอนเอาโจทย์จากโลกไหนมาให้สอบ
3. เลขเยอะๆ เช่น xกำลังพัน เงี่ย อย่าคิดแตะ
4. ความน่าจะเป็น ให้อ่านดู นึกภาพให้ออก ถ้านึกไม่ออกข้าม
5. ข้อสอบ โอลิมปิก ทั้งหลาย อ่านแล้วจะรู้เลย โอ แน่ๆ(ข้อสอบโอ จะซับซ้อน ข้อไหนอ่านไม่รู้เรื่อง ข้อนั้นแหละ)
ต่อไปนี่เป็นเรื่องที่ถ้าชอบก็เก็บ ถ้าไม่ชอบก็ทิ้ง(ยาก ไม่ยากตามความเห็นเรานะ)
1ฟังก์ชั่น 2ภาคตัดกรวย
3matrix 4vector 5cal 6จำนวนเชิงซ้อน


"การทำข้อสอบเลขให้ได้คะแนนเยอะ"

วิธีการ
1อ่านข้อสอบทั้งหมดก่อน อย่าเพิ่งทำ แล้วเขียนชื่อเรื่องไว้ด้านหน้าข้อ
2เรื่องไหนเราอ่านมาก็วงข้อไว้ เรื่องไหนไม่ได้อ่านก็กากบาทใส่เลย
3พิจารณาจากข้อที่วงว่าทำข้อไหนได้บ้าง
แล้วอย่าพึ่งทำ ให้ดูโจทย์แล้วคิดภาพรวมของการแก้โจทย์
ถ้ามองเห็นทางสว่างก็วงไว้ ถ้านึกแล้วตันให้ใส่เครื่องหมาย ?


เริ่มทำข้อสอบ
1เรียงลำดับการทำคือ ทำข้อที่วงไว้ให้ได้ทุกข้อ
2หลังจากนั้นทำข้อที่เเราใส่ ?
แค่สองอันนี้เวลาก็จะหมดละ แต่ถ้ามีเวลาเหลือก็พยายามข้อที่กากบาทไว้แต่แรกละกัน
*พยายามทำอัตนัยก่อน เพราะมันมั่วไม่ได้*


สิ่งที่ควรระวัง
1 การคิดเลขผิด การสะเพร่า หากเราคิดข้อหนึ่งจนขั้นตอนสุดท้าย ได้คำตอบแล้ว พอไปเช้คช้อย ไม่มีคำตอบให้ข้ามทันที ว่างไว้ มีเวลากลับมาคิดใหม่(แต่ถ้าเป็น อัตนัย ก็ตอบเลยเหอะ)
2 เวลา รักษาเวลาให้ดี ถ้าเรากำลังทำข้อที่เราไม่เคยเห็น แต่น่าจะง่าย อย่าไปเสียเวลากับข้อเหล่านั้นให้มากนัก เกิน 3 นาทีให้โยนทิ้งทันที


"การฝึกทักษะเหล่านี้มีอยู่ 2 อย่างที่ต้องทำ"
1 การทำโจทย์ให้มากที่สุด(อย่างต่ำ 7 วัน นี่ขอ 100ข้อ ก็น่าจะไหวนา)
2 จำลองการสอบ(2-3 ครั้ง สอบกับข้อสอบจริง จับเวลาจริง)


การทำโจทย์ จะทำให้เราสามารถแยกแยะโจทย์ได้ง่ายขึ้น
คือ หากเจอโจทย์เยอะ เราจะรู้เลยว่า ข้อนี้ ทำแล้วได้คำตอบแน่ ข้อนั้น ทำแล้วไปต่อไม่ได้ หรือข้อนี้เรื่องนี้ผสมเรื่องนั้นนะ เหมือนกับว่า เรามีประสบการณ์มากขึ้น ก็จะทำได้ดีขึ้น


การจำลองสอบ จะทำให้เราบริหารเวลาได้ดีขึ้นในรอบต่อไป ทำให้เราาคิดเลขผิดน้อยลง สะเพร่าน้อยลง กล่าวคือ ทำให้เรามีสติมากขึ้นนั่นเอง และอีกอย่างนึง ทำให้รู้ว่าเราบกพร่องตรงไหนยังไง จะได้แก้ไขได้ทัน


สู้ๆทุกคนนะครับบ > < 


วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เหตุการณ์ก่อนประกาศผล และวันสัมภาษณ์สุดระทึก !!






                     คืนก่อนวันที่ 24 มกราคม 2556 ซึ่งเป็นวันที่ทาง มธ ประกาศผลผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ ผมก็อยู่ไม่สุขในคืนนั้น ไม่เป็นทำอะไร ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง มัน....ไม่รู้สิ .....มันอธิบายได้ยาก คุณต้องมาเจอเองถึงจะรู้ เหมือนกับความรู้สึกต่างๆ เสียใจ ตื่นเต้น กลัวเครียด มาถาโถมเข้ามาพร้อมกันยังไงยังงั้นเลย เช้าวันที่ 24มกราคม ผมจำเป็นที่จะต้องไปโรงเรียน เพราะทางโรงเรียนมีการจัดติวโอเน็ต ขาดไม่ได้ ไม่งั้นมีปัญหา ก็เลยจำเป็นที่จะต้องไป ระหว่างติวเนื้อหาที่ทางอาจารย์ที่ติวให้ ไม่ได้เข้าหัวผมเลย ในหัวผมมีแต่ มธ มธ มธ 

                     11:0น0 น. เวลที่ทางมธ กำหนดให้เป็นวันประกาศผลผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ แน่นอนครับ เว็บล่มมม ผมได้แต่กันรีๆๆๆไปเรื่อยๆ บน Ipad ที่ยืนเพื่อนมาดู ผมกดรีอยู่อย่างงั้นจนเวลา บ่าย 2 ในที่สุดก็มา เป็นแบบรายชื่อเรียงลงมา ผมจึงรีบๆเปิดดู และเลื่อนดูอย่างช้าๆ เวลาผ่านไปไม่นานเท่าใดนัก มันก็มาถึงตัวอักษรตัวแรกของชื่อผม ....



. ผม

ก็

เริ่ม

เลื่อน

ลง 

มา

ทีละนิด ๆ 

..



.............



..

.



.........







. .


..
 .... ... !!!!!!!!! ในที่สุด สิ่งที่ปรากฎตรงหน้าคือชื่อของผม 

                     ใช่ชื่อของผมเอง ผมเลื่อนไปมองด้านข้างอย่างไม่รอช้า ....ข้อความข้างๆที่จะยืนยันว่า... คุณคือผู้มีสิทธิ์สัมภาษณ์ .... เยสสส ผมดีใจสุดขีด 


สอบติดแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย



                     ในที่สุด สิ่งที่ผมร่ำเรียนมาตั้งแต่ เด็กจนโต ก็สำเร็จผล สิ่งที่เสียเงินให้กับที่เรียนพิเศษเป็นหมื่นๆก็คุ้มค่า วันเวลาที่ทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสือ มันก็ไม่สูญเปล่า แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่จบ การสอบสัมภาษณ์สุดหินรอเราอยู่ ที่มันหินเพราะที่นี่ประกาศ 400กว่าคนแต่รับจริงๆแค่ร้อยกว่าเท่านั้นเอง



                     หลังจากวันนั้นผมก็เตรียมตัวสำหรับการสอบสัมภาษณ์ในวันที่ 2กุมภาพันธ์2556 แต่ผมก็ไม่ได้เตรียมอะไรมากมาย ผมเข้าหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต และข้อมูลกับรุ่นพี่ สิ่งที่ได้รับคำตอบเหมือนกันคือ ประมาณว่า ไม่ต้องกังวล มธ รับทุกคน เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงสบายใจ แต่ก็ไม่รู้จะเตรียมข้อมูลอะไรไปตอบดี เพราะเห็นที่รุ่นพี่มาเล่า ก็ถามมาไม่เหมือนกัน คนสัมภาษณ์เยอะ แล้วแต่ว่าจะได้เจออท่านไหน


                     สุดท้าย ผมก็ไม่ได้เตรียมข้อมูลอะไรเลย


                     คืนออกเดินทางคือวันที่ 1กุมภาพันธ์2556 สิ่งที่ต้องเตรียมคือเอกสารที่ทาง มธ กำหนด ซึ่งแน่นอนผมเตรียมการเรียบร้อย และขึ้นรถจากสกลนครเวลา 19:45น. จนถึง มธ รังสิต ในเวลาตีห้า นี่เป็นการเข้ากรุงเทพครั้งที่ 2 ของผมล่ะมั้ง


                     ผมนั่งรออยู่ใน มธ นั่นแหละ มีเพื่อนมาบ้างก็นั่งรอด้วยกัน เขานัด 10โมงเช้า แต่เรามาซะ ตีห้า ก็ไม่เป็นไร นั่งรออยู่ในนั้นก็ไม่เบื่อเท่าไหร่ มีรุ่นพี่คอยให้ข้อมูลเกียวการสัมภาษณ์รวมถึงรวบรวมเอกสารต่างๆด้วย นอกจากนั้นยังมีรุ่นพี่คณะไหนไม่รู้ เอาของมาขาย เยอะมาก ผมก็ปฏิเสธไป แต่สุดท้ายก็ได้ซื้อพวงกุญแจกับสมุดสองเล่ม ฮ่าๆ ก็มันสวยดี


                     ระหว่างรอสัมภาษณ์เวลาผ่านไปช้ามาก ผมไม่เคยรออะไรขนาดนี้มาก่อน แบบรออย่างเดียว ไม่มีอะไรทำ คุยกับเพื่อนนิดๆหน่อยๆ แล้วก็นั่งรอไป ที่สำคัญระหว่างรอนั้นสุดแสนจะทรมาณ เหมือนกับอาการผิดปกติทุกอย่างในโลกเกิดพร้อมกัน(ความจริงแค่ปวดท้อง) ปวดอยู่อย่างงั้น แต่ผมก็นั่งรอต่อไปอย่างไม่รู้สึก ??(เอาเป็นว่าชั่งเถอะ)


                     รอมานานในที่สุดก็ถึงเวลา เขาเรียกอันดับที่ 319 (ผมเอง) ไปยื่นเอกสารและเตรียมตัวขึ้นสอบสัมภาษณ์ ผมรีบลุกไปอย่างไม่รอช้า ยื่นเอกสารเสร็จเป็นคนแรก หลังจากนั้นเดิมตามรุ่นพี่ ซึ่งนำทางไปยังห้องสัมภาษณ์



                     ผมรออยู่พักใหญ่ถึงจะคิวผม เอาล่ะ เตรียมตัวเตรียมใจมาแล้ว ในที่สุดก็เริ่มซักที เมื่อกรรมการเรียกให้ผมเข้าห้องสัมภาษณ์ได้ ผมเปิดประตูตรงหน้าที่ทำจากหลัก ดีไซน์สวยดี เปิดเข้าไปข้างในพบกับห้องโล่งๆที่มีอาจารย์กำลังสัมภาษณ์เด็กสองคู่บนเก้าอี้ ที่น่าจะเป็นเก้าอี้เล็คเชอร์ล่ะมั้ง หันเข้าหากัน และมีที่ว่างอีกหนึ่งสำหรับผม และมีอาจารย์สัมภาษณ์รออยู่ก่อนแล้ว



เริ่มสัมภาษณ์


" สวัสดีครับ"

ผมพูดแบบไม่คิดอะไร พร้อมยกมือไหว้ และนั่งลงทันที

" ขอเอกสารหน่อยครับ ประวัติส่วนตัวน่ะ"

ผมยื่นใบประวัติส่วนให้เขาไป เขาพิจารณาซักพัก

" โอ้ มาจากสกลนครเหรอ "

ผมก็แปลกใจนิดๆเช่นกัน

" ไหนลองแนะนำตัวหน่อยสิ"

ผมก็ไม่รู้จะแนะนำตัวยังไงก็เลย แนะนำตัวแค่บอกชื่อจริงกับโรงเรียน แล้วก็บอกชั้น เท่านั้นเอง -0- อาจารย์ก็ อืมๆ ไป

" เดินทางมาไกลน่ะ แล้วพักที่ไหน"

ผมก็ตอบไป

" ใช้เวลาเดินทางกี่ชั่วโมง "

ผมตอบไปว่า 9ชั่วโมง(จริงๆ)

" แล้วมาตั้งแต่ตอนไหน ถึงตอนไหน "

เราก็บอกไปตามความจริง นำเสียงอาจารย์แปลกใจ โห นี่รอตั้งแต่ตี5เลยเหรอ

" ไหนลองเล่ามาสิ ว่าเดินทางมายังไง "

เออ เราก็เล่าไปอย่างงั้นอย่างงี้ ขึ้นรถตอนไหน อยู่ในรถเป็นไง แวะไหนบ้าง อาจารย์ก็นั่งฟังเรา


" ลำบากแย่เลยเนอะ " ผมตอบไปว่า " ลำบากสิครับ " อาจารย์ก็ยิ้มๆ แล้วก็ถามเรื่องใหม่


" คุณเกิดในสกลนครเนี่ย รู้จักคำขวัญจังหวัดตัวเองไหม "

ผมก็บอกไปตามความจริง ท่องให้ฟังไม่ได้ แต่พอรู้ใจความ อาจารย์ก็อืมๆ

" คุณคิดว่าที่ไหนในสกลน่าเที่ยว " ผมก็ไม่รู้อะไรเท่าไหร่นะ ก็บอกสถานที่หลักๆไป เพราะผมเห็นคนมาเที่ยวเยอะดี แล้วก็บอกไปว่า คนที่มาเที่ยวสกลส่วนใหญ่จะมาในแนวของพุทธศาสนา อ่านะ เพราะที่นี่พระดังๆเยอะ อะไรประมาณนั้น(ก็พอรู้บ้างงงงง)

อาจารย์ก็อือออกับผมไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์คิดยังไง แต่ก็ไม่เครียดเท่าไหร่ ผมรอคำถามต่อไป

" คุณไปโรงเรียนยังไง"

ผมตอบตามความจริงคือ ขี่มอเตอร์ไซด์ธรรมดาๆ นี่แหละไป

" ในฐานะที่คุณเป็นคนใช้ถนนนะ คุณรู้สึกยังไงกับคนขี่รรถย้อนศร"

" ไม่ชอบ ครับ"

" อ่าว ทำไมล่ะ ก็มันใกล้กว่าตั้งเยอะ"

" ก็มันไม่ชอบใจเท่าไหร่ครับ"

" เคยทำไหม"

" เคยครับ แต่ก็ไม่ชอบอยู่ดี หมายถึงไม่ชอบตัวเองด้วย แต่มันใกล้มาก เปลืองน้ำมันมากเกินไปครับ"



" แล้วคุณได้สมัครสอบที่อื่นไว้ไหม จุฬาได้สมัครหรือเปล่า " ผมตอบไปว่า ไม่ได้สมัครที่ไหนนอกจากที่นี่ ส่วนจุฬา ผมไม่ได้สมัครครับ เพราะคะแนนไม่ถึง เปลืองตังเปล่าๆ (ความจริงสมัครโควต้ารับตรงของ มข ไว้แต่ไม่เอาอยู่แล้ว สมัครไปงั้น เปลืองตังชิบ ก็เลยไม่ได้บอกไป)


" แล้วถ้าคุณไม่ได้ คุณจะทำยังไง " ผมก็บอกว่ารอแอดครับ แล้วเขาก็ดูคะแนน GAT PAT ผม เขาก็ "คะแนนสูงมากนะนี่" ....ไอเราก็นิ่ง เหรอ สูงแล้วเหรอ ฮ่าๆๆๆ


อาจารย์นิ่งซักพักแล้วก็ ....

" เดี๋ยวผมขอเข้าห้องน้ำซักครู่ "

                     อาจารย์ขอตัวเข้าห้องน้ำครับ ฮ่าๆ ผมก็เงิบนิดๆ ระหว่างรอผมก็ฟังสัมภาษณ์ของโต๊ะอื่น อืมม อาจารย์โต๊ะข้างๆนี้ พูดน่ากลัว แต่ละคำถามค่อนข้างแรงทีเดียว แต่อีกโต๊ะนึงด้านหลังได้ยินแต่เสียงนักเรียนแฮะ ส่วนเสียงอาจารย์ด้านหลังนั้นไม่ได้ยินเลย


                     ผมรออยู่ไม่นานนัก อาจารย์ที่สัมภาษณ์ผมก็กลับมา พร้อมกับ ผู้ชายตัวใหญ่เสื้อสีม่วงเข้มลายทาง(มั้ง) กับเนคไทล์สีเทาๆ อาจารย์ที่สัมภาษณ์ผมบอกว่า " นี่เด็กคนนี้มาจาก สกลนคร เลยนะ ผมเลยอยากให้พี่มาสัมภาษณ์ด้วย น้องคนนี้มุงมั่นจะเข้าที่นี่มากเลย "( > < ) ฮ่ะ คือ แค่คนดียวก็หนักแล้วนะ คือ สองคนเลยเหรอ ... ผมก็ตกใจนิดหน่อยล่ะนะ(ไม่นิด) อาจารย์คนที่สองขอดูใบประวัติส่วนตัวผม แล้วก็เริ่มถาม


" คุณมาจากสกลนครเหรอ แล้วมายังไง " ผมกำลังจะตอบ อาจารย์อีกคนก็ตอบแทนไป ผมก็ได้แค่ครับ

" โห มาไกลมากเลยนะ คงอยากเข้าที่นี่มาก " ผมก็ตอบไปว่า " ครับ อยากเข้ามาก "


                     แล้วเขาก็ถามเกี่ยวกับบ้านเกิดผม พ่อแม่ทำงานอะไร น้องชาย บลาๆ ประมาณว่าเรื่องๆทั่วไป โดยอาจารย์ทั้งสองสลับกันถาม คนที่ใส่เสื้อม่วง ก็ถามอะไรที่เกียวกับจังหวัดสกลนครอ่านะ สงสัยเขาคงจะสนใจจังหวัดนี่ล่ะนะ


" น่าสนใจๆ " ( > < ) อาจารย์เสื้อม่วงพึมพำระหว่างที่อาจารย์คนแรกถามผมว่า "เอาที่นี่แน่ๆใช่ไหม" ผมตอบไปว่า "แน่นอน ถ้าติดที่นี่ เอาเลย"

" มีคำถามอะไรอีกไหม " ผมตอบไปว่า "ไม่มีครับ"

" ไม่มี แน่นะ " "ครับ"


" อยากเข้าที่นี่มั้ย" "แน่นอนครับ" อาจารย์เสื้อม่วงถามผม

" อ่า โอเค เรียบร้อยแล้วครับ " ผมตอบว่า "ขอบคุณครับ" แล้วก็เดินออกไป


                     เวลาผ่านไปนานพอสมควรรในห้องสอบนั้น ประมาณซัก 30นาทีได้มั้ง ถือว่ายาวนานล่ะนะ บรรยากาศในห้องสัมภาษณ์ก็ไม่ได้กดดันอะไรมากหรอก แค่ตกใจที่คนมาสอบสัมภาษณ์ สอง คนล่ะนะ ผมไม่รู้ว่าคนกรุงเทพจะโดนถามว่ายังไง แต่ถ้าคุณเป็นเด็กต่างจังหวัดก็จะโดนถามเกี่ยวกับบ้านเกิดล่ะมั้ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่สัมภาษณ์อยู่ดีนั้นแหละ เอาว่าไม่ต้องเครียดมากหรอก แต่ก็นะ อะไรไม่แน่ไม่นอน วันที่ 22กุมพาพันธ์ ประกาศผลแล้ว เอาใจช่วยผมด้วยล่ะครับ :D

 

                     *ไม่ได้เขียนอะไรมากมาย เพราะนอกจากสอบแล้ว การบ้านจากโรงเรียนก็เยอะแยะมากมายเหลือเกิน ปิดเทอมคงมีเวลามากขึ้นนะครับ

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

[ Review ข้อสอบ ] 7วิชาสามัญสุดซีดดด


เราจะรีวิวเฉพาะวิชาที่ตัวเรานั้นถนัดก่อนละกัน :P
ห่างหายกันไปนาน ไม่ใช่อะไรหรอกนาา มันไม่ว่างครับ
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ช่วงเดือนธันวาเนี่ย(ตัวเองสร้างเองทั้งนั้น)
เวลาแทบบไม่มี ในแต่ละวันมีเวลาว่างก็ได้แค่เล่นเฟซแปปๆก็หมดละ 555

          เข้าเรื่องเลยดีกว่า วันนี้วันที่ 5มค2013 เป็นวันสอบ "7วิชาสามัญ" ประจำปี 2556 ซึ่งการสอบเนี่ยมีทั้งหมด 7 วิชาเลยทีเดียว โอว้(คล้ายๆข้อสอบ Ent เลยล่ะ) ประกอบไปด้วย คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา อังกฤษ ภาษาไทย สังคมศึกษา โดยวันนี้(5มค2013) สอบไป 4 วิชาคือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ เคมี และชีววิทยา ตามลำดับ วิชาละ 90 นาที (ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป)

1 ภาษาไทย

          เริ่มด้วย ภาษาไทย เพราะสอบวิชาแรก ภาษาไทยก็คือภาษาไทย ก็เป็นข้อสอบภาษาไทย เอ่อ...คือมันไม่มีอะไรมากมาย สมเป็นข้อสอบภาษาไทยดี

          ข้อสอบภาษาไทยประกอบไปด้วยข้อสอบ 50ข้อ เป็นปรนัย 5 ตัวเลือก ระดับความยากง่าย คือไม่ยากไม่ง่าย ใครอ่านมาก็น่าจะทำได้เยอะ ใครไม่อ่านมาก็พอทำได้(คะแนนไม่เน่าแน่นอน) ไม่มีอะไรมาก แนวข้อสอบเหมือนปีที่แล้วเยอะพอสมควร เป็นการวิเคราะห์เยอะมาก(ประมาณ80%) ส่วนพวกจำๆมาตอบมีพอๆนิดๆ แต่จะทิ้งไม่ได้นาาา

          โดยรวมแล้วไม่ยากมาก เตรียมตัวมาดีก็อาจจะไม่ได้มากเท่า วิเคราะห์เป็น ใช่ต้องฝึกการวิเคราะห์หากเราจะเก็บคะแนนจากวิชานี้

2. คณิตศาสตร์

          ภาษาไทยเป็นวิชาที่ผมไม่ถนัดก็เลย น้อยหน่อย 555 สำหรับคณิตศาสตร์ที่สอบเป็นวิชาที่สองนั้น ไม่ใช่วิชาที่ยากอย่างที่คิดกันหรอก หากเทียบกับ PAT1 อ่านะ

          เรื่องที่ออกในคณิตศาสตร์ก็ออกแทบจะหมดทุกเรื่องเช่น ฟังก์ชั่น ตรีโกณ เอ็กโปร์แอนด์ลอกการิทึม ทฤษฎจำนวน เวคเตอร์ ภาคตัดกรวย จำนวนเชิงซ้อน สถิติ ความน่าจะเป็นและแคล เรื่องที่ไม่เห็นออกเลยคือ เซตและตรรกศาสตร์?? นั่นสิ ทำไม่มี อันนี้ตัวผมก็ไม่รู้เช่นกัน(บทเก็บคะแนนซะด้วย) ส่วนเรื่องที่ออกเยอะสุดก็ สถิติกับแคล นอกนั้นก็พอออกๆมาอ่านะ แต่ละเรื่องไม่ยากง่ายนะ คือ โจทย์ไม่พลิกแพลงมาก และไม่ค่อยผสมกับเรื่องอื่นเท่าไหร่(โจทย์ผสมก็มีบ้าง ความน่าจะเป็นผสมกับบทอื่นนี้มีอยู่แล้ว) 

ข้อสอบแบ่งเป็นสองพาร์ทดังเช่น PAT1 คือ อัตนัยและปรนัย

          อัตนัยมีแค่ 10 ข้อเท่านั้น และข้อละ 2 คะแนน ทั้งหมดก็ 20 คะแนนเอง(จากคะแนนเต็ม 100) ดังนั้นในพาร์ทนี้จึงง่ายมาก (ย้ำ ง่ายมาก) ใครที่อ่านมาดี ทำข้อสอบอื่นๆพอได้ ก็ได้เต็มพาร์ทนี้ไม่ยาก ก็เพราะมันง่าย !!(บางข้อมองตอบเถอะ)

          สรุปแล้วไม่ต้องสนใจพาร์ทนี้มากก็ได้ ทำได้ก็ได้ ทำไม่ได้ อย่างมเลย ผ่านไปเลย เอาเวลาไปทำพาร์ทปรนัยดีกว่า

          ปรนัยมีทั้งหมด 20ข้อ 5 ตัวเลือก ข้อละ4คะแนน(80คะแนนนะเออ) คะแนนน้อยคะแนนเยอะวัดกันตรงนี้แหละ ระดับความยากง่าย ผมจัดให้อยู่ในระดับปานกลาง คืออ่านมาดี ก็ทำได้เยอะ หากเจอโจทย์มาเยอะก็ได้เกือบเต็มไม่น่าจะยากเกินไปนะ แต่ถึงจะไม่ยากมาก เวลานี่แหละเป็นจำกัดล่ะ ดังนั้นต้องเร็วและรอบคอบ

          อย่างไรก็ตาม ถึงโจทย์จะพอถูไถ แต่คิดเลขผิดมันก็เท่านั้น(บางข้อมีช้อยให้ -*-)

          ข้อแนะนำคือ เริ่มทำข้อสอบ สำรวจให้หมดก่อนเลย และเลือกว่าจะทำข้อไหนๆ(ข้อที่มั่นใจว่าทำแล้วออกแน่ๆนะ) แล้วก็เลือกข้อที่น่าจะทำไว้(ไม่แน่ใจว่าจะได้คำตอบมั้ย) แล้วเลือกข้อที่ไม่ทำทิ้งไปเลย(จะกาเลยก็ได้สำหรับข้อที่ตัดทิ้ง)  สุดท้ายก็เลือกทำข้อที่จะทำก่อนเลย สำหรับเลือกทำพาร์ทไหนก่อน ผมขอแนะนำให้เลือกทำพาร์ทอัตนัยก่อน เพราะมันง่าย(ถึงจะคะแนนน้อยก็ตาม) หากทำอัตนัยข้อไหนทำไม่ได้ก็ผ่านไปเลย ไม่ต้องไปสนใจมันอีก

3 เคมี

          สำหรับคนที่ไม่ใช่สายวิทย์อย่างผม(ลาออกจากสายวิทย์มาเมื่อนานมาแล้ว) ก็รีวิวได้นะ เพราะผมก็เรียนวิทย์คณิตมา ฮ่าๆๆ

          ข้อสอบนั้นมี 50 ข้อ แต่ !! โจทย์หนึ่งข้อ หนึ่งหน้าครับ เอ้า จริงๆนะเนี่ย เห็นเพื่อนๆบ่นก็ว่ามันยากมาก แต่สำหรับผม มันไม่ได้ยากหรอก มันเยอะมากกว่าครับ

          เรื่องที่ออกก็เกือบทุกเรื่องนั้นแหละ ม4ม5ม6 กระจายเป็นหย่อมๆ ถ้าจะอ่านมาสอบ ก็ต้องอ่านมาทั้งหมด ไม่ต้องทิ้งเรื่องไหนเลยนะ

          เรื่องที่ออกเยอะแน่นอนก็ต้องปริมาณสาร ขอออกตัวเลยว่า ปริมาณสารไม่ยากอย่างที่คิดหรอก แต่มันเยอะเนี่ยสิ กรดเบสก็ออกไม่ยากเท่าไหร่ ไฟฟ้าเคมีนี่ไม่รู้ครับ เพราะผมไม่รู้เรื่องบทนี้เลยให้ตายเหอะ สุดท้ายเคมีอินทรีย์ออกง่ายพอสมควร (ที่บอกว่า ง่ายๆ ไม่ยากเท่าไหร่ นี่คือ เตรียมตัวมาดี ก็ทำได้)

4 ชีววิทยา

          ชีววิทยา มี 100 ข้อ (แต่ผมก็เสร่จก่อน 30นาที) ข้อสอบก็ทั่วไปมาก เหมือนข้อสอบ Ent เก่าเลยล่ะ ไปทำข้อสอบเก่าเยอะๆก็เก็บคะแนนวิชานี้ไม่ยากเลย

          เรื่องที่ออกเยอะเป็นเรื่อง "การรักษาดุลยภาพร่างกาย" ก็อย่างเช่น ระบบเลือด หัวใจ ฮอร์โมน อะไรประมาณนี้(ซึ่งเป็นบทที่ผมไม่ได้เลย) เรื่องเซลล์ก็ออกเยอะ พันธุกรรมออกเยอะเหมือนกัน DNA ออกเยอะมาก ระบบนิเวศออกเยอะ นอกนั้นก็แค่พอๆออกมาให้เห็น ส่วนเรื่องที่ไม่เห็นเลยคือ อนุกรมวิธาน การหายใจระดับเซลล์ พืช (เรื่องผมถนัดทั้งนั้น)

          ข้อแนะนำคือ อ่านมาเยอะๆล่ะกัน ทำข้อสอบเก่าๆก็ช่วยได้มาก(ขนาดผมที่ไม่อ่านชีวะมาตั้งแต่ ม5 ก็ยังพอถูไถ) เวลา 90นาที กับ 100ข้อ ไม่น่าจะน้อยเกินไปสำหรับคนเตรียมตัวมาดี

จบแล้ววันนี้ 4 วิชา เพราะสอบแค่นี้ พรุ่งนี้สอบอีก 3 วิชาคือ สังคม อังกฤษ และฟิสิกส์
จะมารีวิวต่อพรุ่งนี้

ขอบคุณครับ

          สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมีรีวิวข้อสอบ 7วิชาสามัญกันต่อนะครับ หลังจากอาทิตย์ที่แล้วได้พูดถึงวิชา คณิต ภาษาไทย เคมี ชีววิทยา ส่วนวันนี้เราจะมาพูดถึงวิชาสังคม อังกฤษ และฟิสิกส์กันเนอะ

          ก่อนจะเริ่มขอพูดถึงเรื่องนี้ก่อน เรื่องเวลาในการสอบ ไม่ใช่เวลาที่ใช้สอบหรอกนะ แต่หมายถึงช่วงเวลาที่ใช้ในการสอบ  การสอบ7วิชาสามัญนั้นใช้เวลาแค่ 2วันเท่านั้นเอง ซึ่งวันนึงก็สอบ 3-4 วิชาใช้เวลาในการสอบทั้งวันเลย ซึ่งมันเหนื่อยมากเกินไป อีกทั้งสอบเสาร์อาทิตย์ต่อ แล้วเด็กนักเรียนก็ต้องไปโรงเรียนตามปกติ ทำให้พวกเขาไม่ได้พัก สรุปต้องไปโรงเรียนติดต่อกันมากกถึง 10 วัน(ถ้าไม่ได้หยุดปีใหม่คงจะเป็น 12วัน) ซึ่งทำให้ผมนอนป่วยอยู่อย่างงี้ไง 555

          เริ่มจากวิชาภาษาอังกฤษก่อนละกันเนอะ

5 ภาษาอังกฤษ

          วิชานี้เรียกได้ว่า นรกแดก อีกวิชานึงเลยล่ะ ใครเขาก็บอกว่า ยากๆๆ ก็นะ มันยากจริงๆ แถมยังมีเวลา 90นาที กับข้อสอบ 80ข้อ เหอะๆๆ คิดว่าจะทันมั้ยล่ะ

          ตัวข้อสอบไม่มีการวัดแกรมม่าเลย(มีอยู่เล็กน้อยในพาร์ท Cloze Test ซึ่งมีไม่ถึง 10ข้อ) ตัวข้อสอบจะแบ่งเป็นสามพาร์ทใหญ่ดังนี้ บทสนทนา การอ่าน และการเขียน

          พาร์ท Conversation ถือว่าเป็นพาร์ทที่ง่ายที่สุด(สำหรับผมน่ะนะ) แต่คนอื่นเขาก็บอกว่ายากกันอยู่ดี ข้อสอบพาร์ทนี่ก็เหมือนคอนเวอร์ทั่วๆไป ถ้าอยากทำได้ก็ต้องรู้สำนวนมากหน่อย การดูซี่รี่ย์ฝรั่งช่วยได้เยอะเลยล่ะ มีประมาณ 20ข้อ

          การอ่านหรือ Reading ถือว่ายากและเยอะมาก สำหรับผม มีประมาณ 40ข้อได้ มีบทความประมาณ 4-6 นี่แหละ ไม่มากไปกว่านี้ คือ Passage นึงต่อ 10ข้อ อ่านะ ถือว่าโหดมาก คือมันถามละเอียด ต้องเข้าใจจริงๆถึงจะตอบได้ การรู้คำศัพท์มากก็ช่วยได้ และที่สำคัญต้องเร็วหากจะเก็บพาร์ทนี้(พาร์ทนี้เป็นพาร์ทคนทำไม่ทันเยอะ)

          พาร์ทสุดท้าย พาร์ท Writing มีสองแบบคือ Cloze Test กับเรียงประโยค มีประมาณ 20ข้อได้ Cloze Test 10ข้อ เรียงประโยค10ข้อประมาณนี้ Cloze Test มันจะให้มาเป็นบทความ และเว้นช่องว่าง หลายๆช่อง แต่ละข้อก็ช่องนึง จะมีแกรมม่ามาเกี่ยวข้อง ไม่ยากหรอก แต่ต้องเร็ว ส่วนเรียงประโยคนั้นถ้าใครแปลได้ก็ทำได้ง่ายๆเลย เรียงประโยคคล้ายๆกับในข้อสอบ GAT แต่ข้อนึงจะให้มา ห้าประโยค ABCDE แล้วช้อยก็จะเรียงมาให้ เช่น ก.CBAED ข.DEACB แบบนี้ ซึ่งทำให้เดาได้ไม่ยาก

6 สังคมศึกษา

          ข้อสอบวิชานี้ มีเพียงแค่ 50ข้อเท่านั้น ซึ่งเวลาเหลือเฟือเลยล่ะ ตัวขอสอบไม่ยากมากหรอก ข้อสอบออกครอบคลุมทั้งหมดทั้ง 5สาระเลยล่ะ ใครเก่งวิชานี้ก็น่าจะทำได้ไม่ยาก เพราะข้อสอบก็เหมือนข้อสอบสังคมทั่วๆไป

          ในสาระเศรษฐศาสตร์ออกอยู่ประมาณ 10 ข้อ ซึ่งง่ายมากๆ (เฉพาะสาระนี้แหละ :P) กฎหมายก็ไม่ได้ออกอะไรหวือหวา คือธรรมดาๆ เหตุการณ์ปัจจุบันก็ไม่ยักจะเห็น? ASEAN ออกอยู่ประมาณไม่กี่ข้อ

          ไม่ขอรีวิวอะไรมากในวิชานี้ เนื่องจากไม่ถนัดอย่างแรง จึงไม่หวังอะไรมาก ในวิชานี้

7 ฟิสิกส์

          แหวกแนวกับข้อสอบฟิสิกส์อื่นอย่างแรงและไม่เหมือน PAT2 เลยซักนิด จะเรียกได้ว่าแนวใหม่เลยก็ว่าได้

          คือจะว่าอย่างไรดี ข้อสอบฟิสิกส์ที่ไม่มีตัวเลขคำนวณ? ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะว่าจะคิดเลขผิดหรืออะไร ฮ่าๆๆ ข้อสอบจะเป็นแนวให้ ตัวแปร มา แล้วก็เอาตัวแปรเหล่านั้นมายำๆกันด้วยสูตรฟิสิกส์ในหัวเรานี่แหละ มีข้อสอบแบบนี้ประมาณ 90% และข้อสอบมีทั้งหมด 25ข้อเท่านั้น(ให้อารมณ์เหมือน PAT1 เลยฮ่าๆ)

          เป็นที่น่าแปลกสำหรับฟิสิกส์ เพราะผมไปถามเพื่อนๆว่า เป็นไง ข้อสอบฟิสิกส์ยากไหม หลายๆคนก็บอกว่าง่าย บางคนบอกยาก บางคนบอกธรรมดา บางคนบอกยากโครต? ก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ คือคนที่บอกว่า ง่าย คือคนที่เก่งฟิสิกส์แบบใช้ฟิสิกส์หากิน(คืออ่านมาเยอะ) ส่วนคนที่บอกว่า ธรรมดา ก็พวกอ่านไว้บ้าง พวกบอกว่ายาก(เช่นผม) ไม่อ่านเชี่ยไรเลย แต่พอมีพื้นฐาน ส่วนพวกที่บอกว่ายากมาก ก็พวกไม่เอาอะไรกับฟิสิกส์อยู่แล้ว

          ที่ผมจะบอกคือ ข้อสอบ แบบนี้มันวัดคนได้จริงๆนั่นเอง ใครเก่งก็ได้คะแนนสูงไป ใครอ่อนก็คะแนนอ่อนไป ใครปานกลางก็ได้ปานกลางๆ ตามความรู้และการเตรียมตัว ถ้าอยากจะเก็บวิชานี้ คุณก็จะต้องเตรียมตัวมาดีๆหน่อยละกัน


          จบไปแล้วกับการรีวิวข้อสอบ เฮ้อ เหนื่อยๆนะ ว่ามั้ยกับการเป็นเด็กแอด 555

          เอาล่ะสนามต่อไปคือ O-Net กำลังเตรียมตัวอยู่เลยครับ(ว่างๆจะมีบอกล่ะกันว่าทำอะไรบ้าง :P)
และที่ขาดไม่ได้ จะต้องรีวิวอย่างแน่นอนเลยล่ะ