วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

3ความเครียดสำหรับเด็กแอด


          น่าเห็นใจหลายคนนะ กำลังเครียดอยู่ บางคนก็เครียดหนักเลย บางคนก็เครียดน้อย แต่ก็คงไม่มีใครหรอกที่ไม่เครียด(ผมก็เครียดเหมือนกัน) นั่นสินะ ก็เราอยู่ ม.6 แล้วเป็นช่วงเวลาที่จะต้องเลือกคณะเลือกมหาลัย ซึ่งสำคัญต่ออนาคตของพวกเราทุกคน

          เหตุผลที่เครียดนั้นก็มีมากมาย บางคนก็กลัวไม่มีที่เรียน บางคนก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเข้าคณะอะไร บางคนก็โดนผู้ปกครองบังคับให้เรียนนั่นนี่ ผมว่าปัญหาของเครียดหลักๆคงไม่พ้นสามตัวนี้หรอก บางคนก็เครียดทั้งสามเรื่องเลยก็มี

          เรามาพูดถึงความเครียดทั้งสามอย่างนั่น รวมถึง วิธีการแก้ปัญหาความเครียดเหล่านั่นกัน เพราะความเครียดไม่ใช่เรื่องดีหรอก

                    ความเครียดทั้งสามนั่นก็คือ
                              1 ความเครียดที่เกิดจากความกลัวว่าจะไม่มีที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัย
                              2 ความเครียดที่่เกิดจากยังไม่รู้ว่าจะเรียนต่อคณะอะไรดี
                              3 ความเครียดที่เกิดจากโดนบังคับเรียนในสิ่งที่ไม่ต้องการจะเรียน


1 ความเครียดที่เกิดจากความกลัวว่าจะไม่มีที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัย



          ก่อนอื่นเรามาพูดความเครียดที่เกิดจากความกลัวไม่มีที่เรียน ความเครียดนี้ก็จากอะไรหลายอย่างอยู่เหมือนกัน แต่อย่างหลักๆเลยคือ "การสอบ" เวลาที่มหาวิทยาลัยจะคัดเลือกบุคคล เข้าไปศึกษาต่อแทบร้อยทั้งร้อยใช้การสอบทั้งนั้น ( บางมหาวิทยาลัยไม่มีจัดการสอบ แต่ก็นะ ค่าเทอมแพงอยู่ดี ) สิ่งนี้แหละทำให้เกิดความกลัวไม่มีที่เรียน เพราะกลัวว่าจะสอบไม่ได้

          วิธีการปัญหาข้อนี้ พูดตรงๆคือ "ก็ไปอ่านหนังสือซะสิ ยิ่งกลัวมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องอ่านมากขึ้นเท่านั้น" มันก็เป็นวิธีที่ถูกต้อง เพราะการที่จะสอบได้ จะต้องเตรียมความรู้ การจะเตรียมความรู้ไป ก็ต้องอ่านหนังสือ แต่การพูดแบบนี้นมันไม่ได้ทำได้ง่ายๆ เพราะการที่จะอ่านหนังสือได้ ต้องใช้ความพยายามพอสมควร ต้องสู้กับความขี้เกียจ ต้องสู้กับเนื้อหาที่น่าเบื่อหรือไม่ชอบ ต้องสู้กับเวลาที่เหลืออันน้อยนิด นั้นทำให้การอ่านหนังสือเป็นเรื่องยาก

          คือแน่นอนเลยว่าเราจะต้องอ่านหนังสือ วิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราอ่านหนังสือ คือ เราต้องมีเทคนิค เทคนิคของแต่ละคนจะเหมือนกัน เราจะต้องหาเทคนิคของเราให้เจอ เพื่อที่จะอ่านหนังสือได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด แม้เวลาจะเหลือน้อยหรือเกรงว่าจะอ่านไม่ทัน เราจะต้องจัดแจงเวลาการอ่านของเราให้ดีที่สุด และลงล๊อคที่สุด ถ้าอ่านไม่ทันจริงๆ ก็เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อหลักๆ อ่านให้เข้าใจให้มากที่สุด

          การกวดวิชา สามารถแก้ไขปัญหาข้อนี้ได้ และเป็นวิธีที่ดีที่สุด หากเราเข้าเรียนครบทุกครั้งตามคอร์ส ทำการบ้านที่ติวเตอร์แนะนำให้ทำ เราจะมีความรู้ที่พร้อมสอบแทบจะ 100% แล้วล่ะ ฝึกฝนโจทย์ และทบทวนนิดหน่อย ก็เดินเข้าสนามสอบได้อย่างมั่นใจแล้ว แต่ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าเรียนทุกคาบ บางคนโดดบ่อยมากถึงมากที่สุด บางคนสมัครไว้เฉยๆแล้วไม่ได้ไปเรียน (อยากจะฝากน้องๆที่สมัครเรียน เข้าเรียนทุกคาบด้วย) และการบ้านก็ไม่ได้ทำ (การไม่ได้ทำการบ้านคือการไม่ได้ทบทวน หากไม่ได้ทบทวนเราก็จะลืมเนื้อหาที่ได้เรียน ถ้าลืมก็เท่ากับว่าไม่มีความรู้น่ะสิ) อีกปัญหาหนี่งก็คือ การเรียนที่อัดมากเกินไป บางคนเรียนมากถึง 10ชั่วโมงต่อวัน ร่างกายมีขีดจำกัด การอดทนเรียนพอผ่านๆ ไม่ได้ช่วยให้มีความรู้มากขึ้นหรอก

          เกือบจะร้อยทั้งร้อย ที่ไปกวดวิชาแล้ว โดดบ้างล่ะ ไม่ทำการบ้านบ้างล่ะ เรียนมากเกินไปบ้างล่ะ(ผมด้วยเช่นกัน) แน่นอนความรู้ที่ได้รับอาจจะไม่ได้เลยก็เป็นได้ ดังนั้นต้องหวังพึ่งการอื่นหนังสือแล้วล่ะ นั่นคือทางเดียวในตอนนี้ อ่านหนังสือให้มากๆ เตรียมความพร้อมให้มากๆ คุณจะไม่ต้องเครียดในข้อนี้อีกต่อไป อดทนอ่านหนังสือ เพื่อนอนาคตนะครับ :)

2 ความเครียดที่่เกิดจากยังไม่รู้ว่าจะเรียนต่อคณะอะไรดี เพราะยังไม่ค้ณพบความต้องการของตัวเอง



          ความเครียดข้อนี้ค่อนข้างจะแก้ไขยากนิดหน่อย การค้ณพบตัวเองควรจะค้ณพบให้เร็วมากที่สุด การที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรตั้งแต่ยังเล็กเลยยิ่งดี จะบอกว่านี่เป็นปัญหาสังคมก็น่าจะไม่ผิด เพราะสังคมไทยในปัจจุบันไม่ค่อยที่จะสนับสนุนให้เด็กค้ณพวตัวเองเลยนี่นะ

          ทำไมผมถึงโทษสังคม? มันก็จริงล่ะนะ ลองคิดดูละกันตั้งแต่เกิดมา คุณโดนคุณแม่หรือคุณพ่อปลูกฝังอะไรมา "โตขึ้นอยากเป็นอะไร" "เป็นหมอครับ" "โตขึ้นลูกต้องเป็นตำรวจให้ได้นะ" "เป็นครูนั้นแหละดีที่สุดแล้ว" ด้วยการที่ปลูกฝังอยู่แค่นั้นและไม่หาพรสวรรค์ หรือความสามารถของลูกเลย นั่นก็ทำให้เค้าไม่ค้ณพบตัวเอง หรือค้ณพบช้าเกินไป หรือแม้แต่โรงเรียนก็ไม่ทำการค้ณหาพรสวรรค์ของเด็ก หรือมีน้อยนักที่จะทำการค้ณหา

          เป็นหน้าที่ของเราที่ผ่านพ้นช่วงเวลานั่นมาแล้ว เราจะต้องค้ณพบตัวเองให้เจอ โดยการสั่งสมประสบการณ์ให้มากที่สุด ลองไปเที่ยวค้ณหาประสบการณ์ใหม่ๆ ลองทำนู่น ทำนี่เช่น ลองทำอาหาร ลองแต่งหนังสือ เล่นกีฬา เล่นดนตรี วาดภาพ ลองหาไปทัวร์คณะนู่นนั่นนี่ว่าคณะพวกนี้เรียนอะไรอย่างไร ลองไปดูการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ลองไปทำงานกับพ่อหรือแม่ อะไรประมาณนี้ ยิ่งมีประสบการณ์มาก ยิ่งจะค้ณพบตัวเองได้เร็ว การที่เราจะพบก็คือ เราได้ทำกิจกรรมไหนแล้วเรารู้สึกชอบ มีความสุขกับมันมากที่สุด มีความสุขที่ได้ทำ หรือซาบซิ้งในผลที่เกิดขึ้น หรือเกิดความประทับใจ นั่นทำให้เรารู้แล้ว ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต ทำให้ตัดสินใจเข้าคณะอะไรก็ตามได้อย่างไม่ลังเล

          คุณไม่ต้องห่วงหรอกว่า หากได้ค้ณพบแล้วว่าต้องการเรียนคณะนี้แล้ว พอไปเรียนกลับไม่ใช่ตัวฉันเสียนี่ ไม่เป็นอะไรเราก็แค่ซิ้วซะ เพราะมัวอดทนเรียนกับสิ่งที่ไม่ใช่มันเสียเวลาปล่าว รีบๆซิ้วไปเลยดีกว่า

3 ความเครียดที่เกิดจากโดนบังคับเรียนในสิ่งที่ไม่ต้องการจะเรียน โดยรู้แล้วว่าเราต้องการเข้าคณะอะไร



          แน่นอนคนที่บังคับเราคือผู้ปกครองหรือพ่อกับแม่นี่แหละ พวกเขาอาจจะไม่ได้บังคับตรงๆหรอก อาจจะบอกว่า "เรียนอะไรก็เรียนไป" พอเราบอกจะเรียนอันนั้น อันนี้ กลับแสดงความไม่พอใจซะงั้น หรือกดดันโดยวิธีสารพัดเพื่อที่จะให้เราเลือกคณะที่พวกเขาต้องการ

          การที่ได้เรียนในคณะที่ไม่ต้องการ การที่ได้เรียนในสิ่งที่ไม่อยากเรียน จะทำให้เราไม่เรียน เพราะมันน่าเบื่อ ก็คนมันไม่ชอบอ่ะ แล้วจะให้เรียนได้ยังไง โอเค เราสามารถอดทนเรียนไปจนจบได้ แต่ทำงานล่ะ เราจะต้องเจอกับมันไปทั้งชีวิตเลยเชียวนะ ทั้งเบื่อ ทั้งทรมาณเชียวล่ะ ตรงกันข้ามกับการได้เรียนในสิ่งที่ชอบ มีความสุขที่ได้เรียน มีความสุขที่ได้ทำงาน เรื่องเงินอาจจะมาเอี่ยวด้วย แต่ผมว่าการที่เราได้ทำงานในสิ่งที่ต้องการจะทำจริงๆ มันจะทำให้เรื่องเงินเป็นเรื่องเล็กๆ

          เชื่อเถอะว่า ถึงจะเราจะอดทนเรียนในสิ่งที่โดนบังคับเรียนไปจนจบ หรือทำงานไปแล้ว เราจะต้องเปลี่ยนงานทำอย่างแน่นอน เพราะคนเราทนได้ไม่นานหรอกกับการไม่มีความสุข ทำไมเราถึงเปลี่ยนได้ เพราะเรามีเงินเป็นของตัวเองแล้วนี่ แน่นอนช่วงเวลาที่เราเรียนในสิ่งที่ตนไม่ชอบที่ผ่านมา จะเป็นการเสียเวลาซะเปล่าเนี่นสิ คุณอยากเสียเวลา 5-6ปีไปกับความทุกข์งั้นเหรอ

          ก่อนที่จะแก้ปัญหานี้ เราต้องรู้ก่อนว่า "ทำไมเราถึงเลือกคณะนี้" เลือกเพราะอะไร ชอบจริงๆหรือเปล่า เป็นสิ่งที่ต้องการจริงๆแล้วใช่มั้ย หากเข้าไปแล้วจะต้องมีความสขแน่นอนใช่มั้ย หากเราตอบได้ว่า "ใช่นี้แหละ คณะที่ฉันเลือก เรียนแล้วจะต้องมีความสุขแน่ๆ" โอเคคุณพร้อมแล้วที่จะแก้ไขปัญหา

          สิ่งที่จะต้องเข้าใจก่อนเลยคือ เหล่าผู้ปกครองไม่ได้หวังร้ายกับเรา พวกเขาก็อยากเห็นเรามีความสุขเหมือนกับเรานี่แหละ ดังนั้นหน้าที่ของเราคือจะต้องทำให้พวกเขาเข้าใจให้ได้ว่า "นี่แหละเป็นสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขจริงๆ ไม่ใช่ที่บังคับเข้าซะหน่อย" มันอาจจะยากหน่อย อาจเกิดถึงขั้นทะเลาะกันเลย แต่ก็นะ เพื่อตัวเราเอง

          *เฮ้ ผู้ปกครอง ก็อยากให้เรามีความสุขเหมือนกันนั้นแหละ

          พวกเราโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเองเรียบร้อย การที่รู้ว่าเราต้องการอะไรในชีวิตนั้นแหละคือโตแล้วล่ะ เราไม่มีทางที่จะอยู่กับผู้ปกครองไปตลอดชีวิต เราจะต้องยืดหยัดด้วยลำแข้งของตัว หากเรายังต้องให้พ่อแม่เลือกคณะให้อยู่ เรื่องสำคัญที่สุดของตัวเรายังให้คนอื่นจัดการให้ เราอาจจะตัดสินใจเองอะไรที่มันสำคัญๆไม่เป็นเลยก็ได้ สิ่งเหล่านี้คือก้าวแรกสู่การเป็นผู้ใหญ่

          คณะที่คุณเลือกอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีพอในความคิดของพ่อแม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันคือชีวิตของคุณ จะให้ใครมารับผิดชอบ แน่นอนต้องตัวคุณอยู่แล้ว หากเลือกเส้นทางบัดซบนี่โดยตัวคุณเอง ตัวคุณเองจะต้องรับผิดชอบความบัดซบที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ผู้ปกครอง ผู้ปกครองทำได้แค่สนับสนุนเราเท่านั้น

          ดังนั้นเราจะต้องทำให้ผู้ปกครองเข้าใจให้ได้ โดยการนำเหตุผลมาพูดคุยกัน เหตุผลที่เราต้องหามาเอง ไม่ว่าจะความก้าวหน้าของงาน หรือด้านดีๆต่างของคณะนี้ และโดยเฉพาะความชอบ การเรียนแล้วมีความสุข คณะนี้ใช่ ที่สำคัญที่สุดคืออย่าใช้อารมณ์โดยเด็ดขาด ต้องพูดคุยกันดีๆ นั่นคือวิธีแก้ปัญหาความเครียดข้อนี้

          เห็นได้ว่าความเครียดเหล่านี้มีทางแก้ในตัวของมัน มันอาจจะยากเกินไป แต่มันก็เป็นปัญหาที่ควรจะแก้ไข ปล่อยไว้มันอาจจะเกิดเรื่องไม่ดี เรื่องการผิดหวัง หรือความผิดพลาดก็เป็นได้ เราไม่ควรจะละเลยทั้งสามปัญญหา นั่นเป็นหน้าที่ของเรานอกจากการเรียนหนังสือระดับ ที่จะต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และต้องแก้ไขโดยตัวเราเอง ปัญหาเหล่านี้เกิดกับแต่ละคนไม่เท่ากันบางคนมีผู้ปกครองที่เข้าใจ บางคนค้ณพบตัวเองตั้งแต่เด็ก บางคนสนใจการเรียนตั้งแต่เนิ่นๆ นั่นก็เป็นความโชคดีของเขา สำหรับเราที่เกิดปัญหา ก็จะต้องแก้ไขมัน เพื่อที่จะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ หรือทำตามความฝันที่ตัวเองตั้งไว้ และมีความสุขในที่สุด :)



          ที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา ไม่ใช่อะไรหรอก ไม่อยากเห็นทุกคนเครียดก็เท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตามบทความนี้ก็เกิดขึ้นจากความคิดของผมเพียงคนเดียว อ่านแล้วอย่าพึ่งเชื่อไปซะหมดล่ะ ต้องคิดและพิจารณาอีกนึงนะครับ อ้อ อาจจะมีผิดพลาดเช่น พิมพ์ตกหล่น บ้าง ก็เตือนๆกันบ้างนะครับ :)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น